Filler
Filler คือ
ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) ผลิตขึ้นเพื่อใช้ทดแทนส่วนสำคัญของโครงสร้างผิว คอลลาเจนแลไฮยาลูรอน ซึ่งเมื่ออายุมากขึ้นก็จะมีการสูญเสียไปตามธรรมชาติ ส่งผลให้เกิดริ้วรอย ใต้ตา ร่องแก้ม เป็นต้น ซึ่งฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มผิวให้เต่งตึงขึ้น นอกจากนี้ คุณสมบัติสำคัญของฟิลเลอร์ คือ มีความคงตัว ซึ่งนอกจะเข้าไปเติมเต็ม ยังใช้เป็นการฉีดเสริม เช่น คาง จมูก เป็นต้น ด้วยความเป็น Hyaluronic Acid จึงกักเก็บความชุ่มชื่น ปรับสภาพผิว เพิ่มความยืดหยุ่นดูเป็นธรรมชาติ
หลักการทำงานของ Filler
Filler ฉีดตรงจุดไหนได้บ้าง
สามารถฉีดได้หลายตำแหน่ง ที่มีริ้วรอย ร่องลึก หรือต้องการเติมเต็มเสริม ซึ่งถือเป็นการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนมากขึ้น ซึ่งสำหรับบนใบหน้าก็จะมี 7 จุด หลัก ที่นิยมฉีด Filler
- ใต้ตา – ให้ดูสดชื่น ขึ้น เพราะอายุมากขึ้นใต้ตาจะยุบตัวลง ทำให้เกิดความหย่อนคล้อย
- คาง – ปรับรูปหน้าให้เกิดความสมมาตร ทางเลือกที่ไม่ต้องผ่าตัด หน้าดู V – shape ขึ้น
- ร่องแก้ม – ร่องแก้มลึก จะทำให้ดูอายุมากกว่าวัย การนำ Filler เข้าไปเติมเต็มจะช่วยปรับรูปหน้าให้อ่อนเยาว์ลงได้
- ปาก – สำหรับการปรับรูปปากให้ดูอวบอิ่ม น่าดึงดูดมากขึ้น ซึ่งขึ้นกับเทคนิคของแพทย์ที่ดูแลและความต้องการของคนไข้
- ขมับ – คนไข้บางคนมีปัญหาเรื่องขมับตอบ หรือมีความไม่สมมาตร การใช้ Filler ปรับรูปหน้าก็จะช่วยให้เป็นสัดส่วนได้รูป เป็นจุดที่คนไข้ที่ต้องการเสริมโหงวเฮ้งทำ
- หน้าผาก – ปรับรูปหน้าเพื่อให้เป็นสัดส่วน เสริมโหวงเฮ้งเช่นกัน
- จมูก – สำหรับคนที่ต้องการให้มีสันจมูกหรือปลายจมูก ได้รูป โดยที่มีฐานจมูกอยู่แล้ว การใช้ Filler การเป็นทางเลือกหนึ่งที่ไม่ต้องผ่าตัด เหมาะสำหรับคนที่กลัวเจ็บ หรือมีเวลาพักฟื้นไม่มาก
จุดอื่น ๆ บนร่างกายก็สามารถฉีดเติมเต็มด้วย Filler ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นหลังมือ ร่องลึกบริเวณคอ หรือการเติมเต็มจุดซ่อนเร้นของสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ที่ต้องการเสริมให้ดูน่ามองมั่นใจมากขึ้น การดูแลด้วย Filler ก็สามารถทำได้
ข้อดีของ Filler
- แก้ปัญหาเรื่องริ้วรอย
- ปรับโครงสร้างใบหน้า
- เห็นผลทันที
- ไม่มีรอยแผล
- ไม่ต้องพักฟื้น
- แก้ไขในจุดที่เป็นปัญหาได้อย่างแม่นยำ และจุดที่ต้องการความละเอียดสูง
การเลือก Filler ให้ปลอดภัย
เลือกใช้ Filler ที่เป็น Hyaluronic Acid ของแท้โดยที่จุดสังเกต คือ
- เลขทะเบียนอย. ที่กล่อง
- มีเอกสารกำกับภาษาไทย
- เลข Lot ที่กล่องกับที่ซองที่บรรจุ Filler ต้องตรงกัน
- สามารถเช็คเลข Lot กับบริษัทผู้จัดจำหน่ายได้
นอกจากนี้คือเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย รวมถึงแพทย์ผู้ให้บริการ เพราะการฉีด Filler ต้อง อาศัยประสบการณ์ในการออกแบบใบหน้าให้ได้สัดส่วน และการพิจารณาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับบริเวณที่ฉีด เพื่อให้ใบหน้าได้รูปตรงตามความต้องของคนไข้
อาการข้างเคียงของการฉีด Filler
หลังฉีดฟิลเลอร์ อาจมีรอยแดงจากเข็ม หายไปเองได้ใน 2-3 วัน และจะอาการบวมหลังฉีด สามารถหายบวมไปเองได้ ประมาณ 7-14 วัน ฟิลเลอร์จะเข้าที่ และเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
Bo-tox
Bo-tox คือ
โบท็อก หรือ โบทูลนั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin Type A) ซึ่งเป็นสารสกัดจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) เมื่อฉีดไปแล้วจะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท มีผลทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานลดลงชั่วคราว ลดการขยับของกล้ามเนื้อ ช่วยลดริ้วรอย ลดกราม ปรับรูปหน้าและทำให้ผิวเต่งตึง
หลักการทำงานของ Bo-tox
กลไกการทำงานของ Bo-tox
การทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานลดลงชั่วคราว โดยโบท็อกเป็นโปรตตีนน้ำใส ๆ เมื่อฉีดเข้าสู่บริเวณกล้ามเนื้อจะแยกเป็น 2 ส่วน คือ
- ส่วนที่ถูกดูดซึมเข้าไปเก็บไว้ในเซลล์ประสาท – การทำงานของโบท็อกจะไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท มีผลทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานลดลงชั่วคราว ผิวหนังก็จะตึงขึ้น ไม่เกิดรอยพับ
- ส่วนที่ไม่ถูกดูดซึม – ส่วนนี้จะปลิวไปตามกระแสเลือดในระยะเวลาไม่เกิน 1 ชม. หลังฉีด และถูกขับออกไปโดยไม่ส่งผลต่อเซลล์อื่นในร่างกาย
หลังจากนั้นโบท็อกก็จะค่อย ๆ ออกฤทธิ์กับกล้ามเนื้อ และสลายไปเอง 100% ไม่มีสารตกค้าง ขึ้นอยู่กับยี่ห้อนั้น ๆ
Bo-tox ฉีดตรงไหนได้บ้าง
โบท็อกสามารถนำไปใช้ได้หลายบริเวณ เพื่อความงาม การปรับโครงสร้างหน้าและการลดเหงื่อ เป็นต้น จุดที่นิยมฉีดโบท็อกได้แก่
- ลดริ้วรอย – บริเวณรอยย่นหน้าผาก หัวคิ้ว ตีนกา รอบดวงตา รอยย่นสันจมูก รอบปาก คางทีมีรอยพับย่น เป็นต้น
- ลดกราม – เพื่อปรับรูปหน้า ลดการขยับของกล้ามเนื้อ เพื่อให้ใบหน้าได้รูป V – Shape มากขึ้น
- ลดเหงื่อ – รักแร้ มือ เท้า ช่วยลดกลิ่นตัว โดยที่เข้าไปยับยั้งเส้นประสาทที่เลี้ยงต่อมเหงื่อ ผลิตเหงื่อลดลง
การเลือก Bo-tox ให้ปลอดภัย
เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์ต้องมีประสบการณ์ สามารถเอาชื่อนามสกุลเข้าไปตรวจในเว็บไซต์ของแพทยสภา ต้องใช้โบท็อกแท้เท่านั้น การฉีดโบท็อกปลอมเป็นอันตราย เมื่อฉีดไปนาน ๆ ทำให้เกิดการดื้อโบท็อก (ในปัจจุบันยังไม่มีทางรักษา)
