คุณผู้หญิงหลายคนอาจจะเคยเจอเหตุการณ์เวลาหัวเราะ ไอ หรือจาม แล้วมีอาการปัสสาวะเล็ดออกมาจนเกิดความวิตกกังวลว่าจะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ตามมา หรืออายเวลาปัสสาวะเล็ดโดยไม่ตั้งใจ ต้องคอยใส่แผ่นอนามัยตลอดเวลาเพื่อความสบายใจ เป็นปัญหาที่บั่นทอนความมั่นใจในชีวิตประจำวันอย่างมาก หลายคนคิดว่าปัสสาวะเล็ดเป็นเรื่องธรรมชาติของผู้สูงอายุ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ อาการเหล่านี้สามรถเกิดได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 30 หรือคุณแม่หลังคลอด หลายคนเริ่มมีอาการแต่ไม่กล้าพูดถึง คุณไม่ต้องทนกับปัญหานี้อีกต่อไป เพราะอาการปัสสาวะเล็ดสามารถป้องกันและรักษาได้
อาการปัสสาวะเล็ด
อาการปัสสาวะเล็ด เป็นอาการที่ปัสสาวะไหลออกมาเองโดยไม่ได้ตั้งใจ หรืออาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มักเกิดขณะไอ จามหรือปวดปัสสาวะ โดยมีการแบ่งประเภทของอาการออกเป็น 2 แบบ คือ
ปัสสาวะเล็ดแบบเฉียบพลัน (Acute Incontinence)
จะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เกี่ยวข้องกับภาวะชั่วคราว เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ, การใช้ยาบางชนิด หรือการดื่มคาเฟอีนและแอลกอฮอล์มากเกินไป นอกจากนี้ยังอาจเกิดกับผู้ป่วยที่มีปัญหาในการเคลื่อนไหว เช่น ผู้ที่ต้องนอนพักฟื้นหรือผู้ที่ฟื้นตัวจากการผ่าตัด และผู้ที่มีอาการท้องผูกเรื้อรังได้ เมื่อได้รับการรักษาถูกต้องตามสาเหตุแล้ว อาการปัสสาวะเล็ดก็จะหายไป
ปัสสาวะเล็ดแบบเรื้อรัง (Chronic Incontinence)
จะมีอาการปัสสาวะเล็ดหรือไหลออกมาโดยไม่สามารถควบคุมได้ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน สาเหตุหลักมักมาจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานไม่แข็งแรง ไม่สามารถรับแรงดันที่เพิ่มขึ้นในช่องท้องได้ทำให้ปัสสาวะเล็ดออกมา, การคลอดบุตร, วัยหมดประจำเดือน หรือโรคประจำตัว เช่น เบาหวานและโรคทางระบบประสาท ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลระยะยาว
อาการที่ควรสังเกตและไม่ควรมองข้าม คือ
- ปัสสาวะเล็ดเวลาหัวเราะ ไอ จาม หรือออกกำลังกาย
- มีความรู้สึกปวดปัสสาวะกะทันหัน ควบคุมไม่ทัน
- ปัสสาวะไหลเล็ดโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะตอนกลางคืน
- ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ แต่ปริมาณแต่ละครั้งไม่มาก
- รู้สึกไม่กล้าเข้าสังคม หรือเลี่ยงกิจกรรมบางอย่างเพราะกลัวเล็ด
สาเหตุของปัสสาวะเล็ด
สาเหตุจากร่างกาย
- การตั้งครรภ์และการคลอดบุตร: น้ำหนักของมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นจะไปกดทับกระเพาะปัสสาวะและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอลง นอกจากนี้ การคลอดบุตรทางช่องคลอดก็อาจทำให้กล้ามเนื้อและเส้นประสาทบริเวณนั้นยืดหรือได้รับความเสียหายได้
- วัยหมดประจำเดือน: เมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยนี้ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนน้อยลง ซึ่งฮอร์โมนนี้มีส่วนช่วยรักษาความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ เมื่อระดับฮอร์โมนลดลงจึงอาจส่งผลให้ควบคุมการปัสสาวะได้ยากขึ้น
- การผ่าตัดในบริเวณอุ้งเชิงกราน: การผ่าตัดมดลูก หรือการผ่าตัดอื่นๆ บริเวณอุ้งเชิงกรานอาจทำให้กล้ามเนื้อและเส้นประสาทที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะได้รับผลกระทบ ทำให้ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้
สาเหตุจากโรคประจำตัว
- โรคเบาหวาน: ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานานอาจทำให้เส้นประสาทที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะเสียหาย หรืออาจทำให้มีการผลิตปัสสาวะเพิ่มขึ้นจนควบคุมได้ยาก
- โรคอ้วน: น้ำหนักตัวที่มากเกินไปจะเพิ่มแรงดันอย่างต่อเนื่องต่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและกระเพาะปัสสาวะ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอลงและนำไปสู่อาการปัสสาวะเล็ดได้
สาเหตุจากพฤติกรรม
- การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์: เครื่องดื่มเหล่านี้มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยและรวดเร็วกว่าปกติ
- การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของอาการไอเรื้อรัง ซึ่งการไอแต่ละครั้งจะเพิ่มแรงดันในช่องท้องและสร้างแรงกดต่อกระเพาะปัสสาวะ นำไปสู่อาการปัสสาวะเล็ดขณะไอได้
- การได้รับบาดเจ็บ: การได้รับบาดเจ็บรุนแรงบริเวณหลังหรืออุ้งเชิงกรานอาจส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ
- การออกกำลังกาย: บางท่าอาจส่งผลต่อความไม่กระชับของช่องคลอดได้ โดยเฉพาะท่าที่เพิ่มแรงดันในช่องท้อง เช่น การยกของหนัก, เวทเทรนนิ่งบางรูปแบบ, หรือท่าที่มีการกระแทกสูง
กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอทำให้ปัสสาวะเล็ด
ความสำคัญของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานคือกลุ่มกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณส่วนล่างของอุ้งเชิงกราน ทำหน้าที่ช่วยพยุงอวัยวะสำคัญต่างๆ เช่น กระเพาะปัสสาวะ, ลำไส้ใหญ่ และมดลูกในผู้หญิง
นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานของระบบขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ โดยทำหน้าที่ช่วยเปิดและปิดหูรูดกระเพาะปัสสาวะ ทำให้เราสามารถกลั้นปัสสาวะได้ตามต้องการ หากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเกิดการคลายตัว อยู่ในสภาวะที่อ่อนแรง หรือหดตัวได้น้อยลง จะส่งผลทำให้เกิดอาการปัสสาวะเล็ดได้
ภาวะปัสสาวะเล็ดในผู้หญิง
ทำไมผู้หญิงถึงมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย?
ด้วยโครงสร้างร่างกาย การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวันที่แตกต่างกัน ทำให้ผู้หญิงมีโอกาสเผชิญกับปัญหาปัสสาวะเล็ดมากกว่าผู้ชายถึง 2–3 เท่า โดยเฉพาะในช่วงชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ๆ เช่น การตั้งครรภ์ การคลอดบุตร และวัยหมดประจำเดือน หรือเริ่มเข้าสู่วัยสูงอายุ
ปัจจัยที่ทำให้ผู้หญิงเกิดปัสสาวะเล็ดบ่อย
- การตั้งครรภ์และการคลอดบุตร มดลูกที่มีการขยายใหญ่ขึ้นกดทับกระเพาะปัสสาวะ และการคลอดทางช่องคลอดทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานยืดหรือฉีกขาด จึงควบคุมการกลั้นปัสสาวะได้ยากขึ้น
- วัยหมดประจำเดือน เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ทำให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อในอุ้งเชิงกรานบางลงและไม่แข็งแรง
- น้ำหนักตัวเกิน ไขมันหน้าท้องกดทับอุ้งเชิงกราน เพิ่มแรงดันในช่องท้อง ทำให้ปัสสาวะเล็ดง่ายขึ้น
- การผ่าตัดสูตินรีเวช เช่น การตัดมดลูก อาจกระทบต่อเส้นประสาทและกล้ามเนื้อที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะ
การวินิจฉัยปัสสาวะเล็ดสำคัญอย่างไร?
การวินิจฉัยปัสสาวะเล็ดก่อนเข้ารับการรักษานั้นสำคัญ โดยจะเริ่มจากการซักประวัติและตรวจร่างกายโดยละเอียด ซึ่งอาจรวมถึงการตรวจภายใน การตรวจปัสสาวะ และการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องทางเดินปัสสาวะ เพื่อหาสาเหตุและประเมินความรุนแรงของอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ทำให้แพทย์สามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การรักษาปัสสาวะเล็ด
การรักษาภาวะปัสสาวะเล็ดสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การออกกำลังกายด้วยตัวเอง จนถึงการรักษาทางการแพทย์ เพื่อฟื้นฟูความสามารถในการควบคุมการปัสสาวะ และความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
การออกกำลังกายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
เป็นวิธีการรักษาเริ่มแรกในผู้ที่มีอาการปัสสาวะเล็ดที่อาการยังไม่รุนแรง ด้วยการ Kegel Exercise คือการฝึกขมิบกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานค้างไว้เป็นเวลา 5 วินาที และคลายออก 5 วินาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง อาจจะต้องใช้เวลานานและต้องฝึกขมิบให้ถูกต้องถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
การใช้ยาเพื่อรักษาอาการปัสสาวะเล็ดในผู้หญิง
แพทย์จะพิจารณาเลือกใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล ยาที่ใช้รักษาอาการปัสสาวะเล็ดในผู้หญิงส่วนใหญ่จะช่วยให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะผ่อนคลาย หรือช่วยให้กล้ามเนื้อหูรูดท่อปัสสาวะทำงานได้ดีขึ้น แนะนำว่าไม่ควรซื้อยาทานเองหรือหลงเชื่อคำโฆษณาในอินเตอร์เน็ต เพราะอาจจะไม่เห็นผลลัพธ์ เสียเงินฟรี หรืออาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
การผ่าตัดรักษาแก้ปัสสาวะเล็ด
การผ่าตัดส่วนใหญ่จะเป็นทางเลือกสุดท้ายสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะปัสสาวะเล็ดชนิดรุนแรง แต่การผ่าตัดก็มีความเสี่ยงหลายอย่าง เช่น การติดเชื้อ รอยแผลเป็น หรือภาวะแทรกซ้อนจากเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ เป็นหัตถการที่มีความซับซ้อนและต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูง คนไข้ที่เริ่มมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ไม่จำเป็นต้องรักษาโดยการผ่าตัดทุกคน ควรเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับระดับความรุนแรงของปัญหาก่อน และพิจารณาการผ่าตัดเป็นทางเลือกสุดท้าย
โปรแกรม Morpheus 8 V และ V Tone ที่ Aestima Clinic
โปรแกรม Morpheus8 V
จะส่งพลังงาน Fractional RF ผ่านเข็มเคลือบทองคำ เข้าไปช่วยสร้างเนื้อเยื่อและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ช่องคลอดมีความกระชับขึ้น พร้อมกระตุ้นการผลิตน้ำหล่อเลี้ยง ให้มีความชุ่มชื้น รวมถึงช่วยรักษาอาการปัสสาวะเล็ด เพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นควรทำคู่กับโปรแกรม V Tone ใช้เวลาในการทำเพียงแค่ 30-60 นาทีต่อครั้ง โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น
โปรแกรม V Tone
เป็นเทคโนโลยี EMS (Electrical Muscle Stimulation) ด้วยพลังงานไฟฟ้ากระตุ้นกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานโดยตรง ช่วยสร้างการหดตัวของกล้ามเนื้อ แค่นอนเฉย ๆ ก็เทียบเท่ากับการทำ Kegel หลายพันครั้ง ช่วยในการรักษาอาการไอ จาม แล้วปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ทำให้น้องสาวฟิตกระชับขึ้น โดยใช้เวลาในการทำเพียงแค่ 20-30 นาทีต่อครั้ง ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น
ทำไมโปรแกรม Morpheus 8 V และ V Tone ถึงน่าสนใจ ?
- ไม่ต้องผ่าตัด แต่ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่มี ปัญหาปัสสาวะเล็ดและความกระชับโดยไม่เสี่ยงหรือพักฟื้นนาน
- เทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาจากโปรแกรม Morpheus 8 โดย Morpheus 8 V มีการพัฒนาขึ้นมาเพื่อดูแลจุดซ้อนเร้นโดยเฉพาะทั้งภายในและภายนอก สามารถกระตุ้นคอลลาเจนภายในช่องคลอดได้อย่างล้ำลึกและยาวนาน
- ไม่มี downtime ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำเสร็จสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อ่างปกติ
การดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันปัสสาวะเล็ด
พฤติกรรมในชีวิตประจำวันถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและบรรเทาอาการปัสสาวะเล็ดได้ และการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานขึ้น
ปรับพฤติกรรมการดื่มน้ำและการขับถ่าย
- ดื่มน้ำอย่างเหมาะสม ไม่ควรดื่มน้ำน้อยเกินไปอาจทำให้ระคายเคืองกระเพาะปัสสาวะได้ง่าย และไม่ควรดื่มมากเกินไปอาจทำให้ปวดปัสสาวะบ่อย ควรดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมตลอดวันอย่างน้อย 8 แก้ว
- เข้าห้องน้ำให้เป็นเวลา ฝึกการเข้าห้องน้ำตามตารางเวลาที่กำหนด ไม่ควรรอให้รู้สึกปวดอย่างรุนแรงแล้วค่อยขับถ่าย การฝึกเช่นนี้จะช่วยให้กระเพาะปัสสาวะคุ้นชินกับการกักเก็บน้ำปัสสาวะได้ดีขึ้น และไม่ควรกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน
- ป้องกันอาการท้องผูก ภาวะท้องผูกเรื้อรังทำให้ต้องเบ่งถ่าย ซึ่งเพิ่มแรงดันในช่องท้องและไปกดทับกระเพาะปัสสาวะได้ ทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอลงได้ง่าย ควรรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงและดื่มน้ำให้เพียงพอ
ลดน้ำหนักและควบคุมอาหาร
- ควบคุมน้ำหนัก น้ำหนักตัวที่มากเกินไปจะเพิ่มแรงดันที่ช่องท้องและกระเพาะปัสสาวะ การลดน้ำหนักจึงช่วยลดภาระที่กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และลดอาการปัสสาวะเล็ดได้
หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดปัสสาวะเล็ดบ่อย
- งดสูบบุหรี่ เพราะทำให้เกิดอาการไอเรื้อรัง สาเหตุทำให้ปัสสาวะเล็ด การเลิกบุหรี่จึงช่วยลดอาการนี้ได้
- ระวังการยกของหนัก: การยกของหนักจะเพิ่มแรงดันในช่องท้องอย่างรุนแรงได้
- บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอย่างสม่ำเสมอ โดยฝึกการทำ Kegel เป็นประจำทุกวันจะช่วยให้กล้ามเนื้อสำคัญนี้แข็งแรงอยู่เสมอและฟิตกระชับขึ้น
คำแนะนำ
อาการปัสสาวะเล็ดไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องทนหรือต้องอายไปตลอดชีวิต เพราะความมั่นใจของคุณสามารถสร้างได้ ด้วยการเข้าใจสาเหตุและการหาวิธีดูแลตัวเองที่ถูกต้องและได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม เริ่มต้นด้วยการปรับพฤติกรรม ร่วมกับการทำ Kegel Exercise อย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลดี
เมื่อไหร่ที่ควรเข้าพบแพทย์?
หากอาการปัสสาวะเล็ดเริ่มรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของคุณ เช่น ทำให้คุณอับอาย, ต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ชอบ หรือมีผลกระทบต่อการทำงานและการเข้าสังคม นั่นคือสัญญาณว่าคุณควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำปรึกษา อย่าปล่อยให้อาการนี้เป็นเรื่องปกติที่คุณต้องทนอยู่
อาการปัสสาวะเล็ดเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและสามารถรักษาให้หายขาดได้ การเปิดใจปรึกษาแพทย์จะช่วยให้คุณค้นพบทางออกที่เหมาะสม เพื่อฟื้นฟูสุขภาพกายและสุขภาพใจ เพิ่มความมั่นใจและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม


